วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Physical Layer

Physical Layer หรือชั้นกายภาพ ในชั้นนี้จะกล่าวถึง อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ เช่น สายเคเบิล Lan
สายไฟฟ้า หรือ Connectorต่างๆ ข้อต่อหรือปลั๊กที่ใช้มีมาตรฐานอย่างไร ใช้ไฟกี่โวลต์ มีการชำรุดของอุปกรณ์
หรือไม่ เช่นสายขาด ปลั๊กหลุด หรือตัวอุปกรณ์ใช้งานไม่ได้ เป็นต้น โดยในชั้นระบบนี้จะใช้หน่วยของ layer
เป็น bits ดังนั้น protocol ในชั้นนี้คือ CAT5, CAT6, RJ-45 cable เป็นต้น ในส่วนของผู้ที่จะ
สอบCCNA จะมีการเน้นเรื่องของการเลือกสาย Lan หรือสายUTP ต้องเลือกการใช้งานให้ถูกต้องรักษา ,การเชื่อมต่อระหว่างการติดต่อสื่อสารของระบบเครือข่ายที่ Physical layer จะมีการกำหนดลักษณะเฉพาะ
ของแร งดันไฟฟ้า  ,  เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงแรงดันไฟฟ้า อัตราการส่งข้อมูล,  ระยะทางที่มากที่สุดในการส่ง
ข้อมูล และอุปกรณ์เชื่อมต่อที่ layer นี้ยังสนับสนุนการทำงานทั้ง LAN และ WAN ด้วย
-Physical layer
มีหน้าที่ 2 อย่าง คือ ส่ง และรับ bits (Bit มีค่าคือ 0 หรือ 1)Data Link Layer
Data Link Layer หรือเรียกชั้น สื่อกลางของการส่งข้อมูล เพราะจะต้องมีการ ระบุหมายเลข address
ของอุปกรณ์ต่างๆ ที่เรียกว่าMAC Address หน่วยของ layer นี้คือ Frame ตัวอย่างของ protocol
ในชั้นนี้คือ Ethernet , Token Ring , IEEE 802.3/202.2 , Frame Relay, FDDI,HDLC,
ATM , MPLS เป็นต้น
จะแบ่งการพิจารณาออกเป็น 2 ส่วนคือ ในส่วนของ LAN และWAN
ในส่วนของ LAN จะเกี่ยวกับอุปกรณ์Switch จะสนใจเกี่ยวกับ เรื่องMac Address Table , การทำ
VLAN และมีในส่วนของค่า encapsulation เหมือนกัน ดังรูปด้านล่าง เป็นการเชื่อมต่อระหว่าง Switch
กับ Switch และมีการแบ่ง VLAN ด้วย Port ที่เชื่อมต่อระหว่าง Switch กับ Switch จะเรียกว่า
Trunk port ต้องทำการ config ค่า encapsulation ให้ถูกต้องและตรงกันทั้ง 2 ฝั่ง โดยค่า
encapsulation ของ Trunk port ค่า มาตรฐานจะเป็น IEEE 802.1Q ส่วน ISL จะเป็นค่า
encapsulation ของ ทาง cisco-
DCE คอยใช้บริApplication Layer
Application Layer ในชั้นนี้จะเป็นการแสดงผล จากตัวโปรแกรมต่างๆ ที่มีการส่งผ่านข้อมูล ทาง
อินเตอร์เน็ท หรือเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการโอนถ่ายข้อมูล ระหว่างเคลือข่ายของเรา protocol ที่ใช้งานในชั้น
นี้คือ Web Browser ,HTTP ,FTP ,Telnet ,WWW ,SMTP ,SNMP ,NFS , MSN ,
Yahoo Messenger , Skye เป็นต้น ซึ่งApplication ต่างๆ ยังต้องอ้างอิง port ที่ใช้งานด้วยว่าเป็น
tcp หรือ udp และในปัจจุบันApplication ใหม่จะใช้ทั้ง tcp และ udp ในการส่งข้อมูล ดังนั้นใน
การทำACL หรือConfig Firewall ควรตรวจสอบให้ครบถ้วน
เพิ่มเติมคำศัพท์ที่ควรรู้สำหรับผู้ที่จะสอบCCNA เช่น คำว่า Internet จะหมายถึงNetwork
Layer คำว่า Process หรือApplication จะหมายถึง 3 Layers บน เป็นต้น
รบ่อยๆ
-DTE
เป็นอุปกรณ์ต่อเชื่อม บริการที่เข้าถึงได้ CSU/ DSU
-HSSI
เป็นการติดต่อสื่อสารที่ถูกสมมติให้อยู่ใน DEC / DT
      
       
เป็นการให้คำจำกัดความเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า ,เครื่องจักกล,วิธีดำเนินการ ,วิธีดำเนินการ,หน้าที่เฉพาะ,การบำรุง
รักษา ,การเชื่อมต่อระหว่างการติดต่อสื่อสารของระบบเครือข่ายที่ Physical layer จะมีการกำหนดลักษณะเฉพาะ
ของแรงดันไฟฟ้า  ,  เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงแรงดันไฟฟ้า อัตราการส่งข้อมูล,  ระยะทางที่มากที่สุดในการส่ง
ข้อมูล และอุปกรณ์เชื่อมต่อที่ layer นี้ยังสนับสนุนการทำงานทั้ง LAN และ WAN ด้วย
-Physical layer
มีหน้าที่ 2 อย่าง คือ ส่ง และรับ bits (Bit มีค่าคือ 0 หรือ 1)
-
มีการเชื่อมต่อระหว่าง DCE คอยให้บริการต่างๆ
-DCE
คอยใช้บริการบ่อยๆ
-DTE
เป็นอุปกรณ์ต่อเชื่อม บริการที่เข้าถึงได้ CSU/ DSU
-HSSI
เป็นการติดต่อสื่อสารที่ถูกสมมติให้อยู่ใน DEC / DTE



     Hub
คือ อุปกรณ์เชื่อมต่อ repeater หลายๆตัว เมื่อ repeater    ได้รับสัญญาณ  ก็จะแปลงให้เป็นสัญญาณ
แบบ digital และส่งต่อไปยังทุก port   ที่ทำงาน อยู่   hub   ที่ทำงานอยู่ก็ทำได้เช่นเดียวกัน อุปกรณ์ต่อเชื่อมทุกตัว
เสียบเข้าไปใน hub ก็จะอยู่บนพื้นฐานการชนกัน หรือการกระจายที่เหมือนกัน Hub   จะไม่เห็นการเดินทางเมื่อเข้าไป
แต่มันจะส่งสัญญาณไปยังทุก port อุปกรณ์ทุกตัวจะเชื่อมต่อกับ hub และจะรู้ได้เมื่อมีสัญญาณส่งเข้ามา



       
เป็นการให้คำจำกัดความเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า ,เครื่องจักกล,วิธีดำเนินการ ,วิธีดำเนินการ,หน้าที่เฉพาะ,การบำรุง
รักษา ,การเชื่อมต่อระหว่างการติดต่อสื่อสารของระบบเครือข่ายที่ Physical layer จะมีการกำหนดลักษณะเฉพาะ
ของแรงดันไฟฟ้า  ,  เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงแรงดันไฟฟ้า อัตราการส่งข้อมูล,  ระยะทางที่มากที่สุดในการส่ง
ข้อมูล และอุปกรณ์เชื่อมต่อที่ layer นี้ยังสนับสนุนการทำงานทั้ง LAN และ WAN ด้วย
-Physical layer
มีหน้าที่ 2 อย่าง คือ ส่ง และรับ bits (Bit มีค่าคือ 0 หรือ 1)
-
มีการเชื่อมต่อระหว่าง DCE คอยให้บริการต่างๆ
-DCE
คอยใช้บริการบ่อยๆ
-DTE
เป็นอุปกรณ์ต่อเชื่อม บริการที่เข้าถึงได้ CSU/ DSU
-HSSI
เป็นการติดต่อสื่อสารที่ถูกสมมติให้อยู่ใน DEC / DTE



     Hub
คือ อุปกรณ์เชื่อมต่อ repeater หลายๆตัว เมื่อ repeater    ได้รับสัญญาณ  ก็จะแปลงให้เป็นสัญญาณ
แบบ digital และส่งต่อไปยังทุก port   ที่ทำงาน อยู่   hub   ที่ทำงานอยู่ก็ทำได้เช่นเดียวกัน อุปกรณ์ต่อเชื่อมทุกตัว
เสียบเข้าไปใน hub ก็จะอยู่บนพื้นฐานการชนกัน หรือการกระจายที่เหมือนกัน Hub   จะไม่เห็นการเดินทางเมื่อเข้าไป
แต่มันจะส่งสัญญาณไปยังทุก port อุปกรณ์ทุกตัวจะเชื่อมต่อกับ hub และจะรู้ได้เมื่อมีสัญญาณส่งเข้ามา


วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การต่อสาย LAN

วิธีการต่อสายแลน


การทำสายสัญญาณ เพื่อใช้เองในบ้านหรือในสำนักงานขนาดเล็กก็ได้ วิธีการก็ไม่มีอะไรมากอย่างแรกเลยก็จัดเตรียมเรื่องของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ให้ครบถ้วนก่อนจะได้ไม่ต้องวิ่งหาตอนติดตั้ง โดยอุปกรณ์โดยทั่วไปก็มี สายสัญญาณหรือ UTP Cable หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าสาย LAN แล้วก็หัว RJ-45 (Male), Modular Plug boots หรือตัวครอบสาย หากว่ามี Wry Marker แล้วก็จะมีเหมือนกันเพราะว่าจะช่วยในการทำให้เราจำสายสัญาณได้ว่าปลายด้านไหนเป็นด้านไหน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วก็จะเป็นหมายเลข ไว้ใส่ในส่วนปลายทั้งสองด้านเพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบระบบสายสัญญาณ คีมแค้มสายสัญญาณ หรือ Crimping Tool, มีดปอกสาย หรือ Cutter
เอาละมาว่ากันเลยดีกว่าก่อนอื่นก็หยิบมีดหรือ Cutter อันเล็ก ๆ มาอันหนึ่งแล้วก็เล็งไปที่นิ้วจากนั้นก็ตัดนิ้วทิ้งไปซะ แล้วค่อยเอาหัว RJ มาต่อกับนิ้วแทน เท่านี้คุณก็สามารถเชื่อมต่อตัวคุณเองเข้าสู่ระบบเครือข่ายด้วยความไวสูงสุดถึง 100 มิลลิลิตรต่อนาที บางทีอาจจะเป็น Full Duplex Mode อีกต่างหาก ล้อเล่น ๆ เอาละนะใช้มีดปอกสายสัญญาณที่เป็นฉนวนหุ้มด้านนอกออกให้เหลือแต่ สายบิดเกลียวที่อยู่ด้านใน 8 เส้นแล้วก็จะเห็นด้ายสีขาว ๆ อยู่ให้ตัดทิ้งได้ โดยการปอกสายสัญญาณนั้นให้ปอกออกไว้ยาว ๆ หน่อยก็ได้ประมาณสัก 1 เซ็นครึ่งก็น่าจะได้นะตามตัวอย่างดังรูปข้างล่างนี้

จากนั้นก็ให้ใส่ Modular Plug boots เข้ากับสาย UTP ด้านที่กำลังจะต่อกับหัว RJ-45 ไว้ก่อนเลยดังรูปข้างล่างนี้

รูปแสดงคีมหรือ Crimping Tool ที่จะใช้ในการแค้มหัว อันนี้เป็นของยี่ห้อ Amp ราคาในตลาดก็คงประมาณ 5,000-6,000 บาทมั้งแต่ถ้าไม่ได้ใช้เยอะก็แนะนำให้เดินซื้อแถวพันทิพย์ หรือ ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ทุกมุมในปัจจุบันนี้ ถ้าเอาแบบพอใช้ได้ราคาก็ประมาณ 400-800 บาท คุณภาพก็พอใช้ได้นะ ผมก็เคยซื้อมาใช้หลายอันแล้ว แต่ของ Amp นี้ค่อนข้างน่าใช้และชัวร์กว่าเยอะในการเข้าสาย แต่ราคานี่สิผมว่ามันไม่ค่อยจะน่าสนเท่าไหร่ ถ้าเราไม่มีอาชีพในการทำงานด้านนี้เฉพาะหรือ ต้องมีการเดินระบบสายสัญญาณบ่อย ๆ รูปของคีมหรือ Crimping Tool ด้านหน้าที่จะใช้แค้มสาย หลังจากที่ปอกสายเสร็จแล้วก็ให้ทำการแยกสายทั้ง 4 คู่ที่บิดกันอยู่ออกเป็นคู่ ๆ ก่อนโดยที่ให้แยกคู่ต่าง ๆ ตามลำดับต่อไปนี้ ส้ม-ขาวส้ม ---> เขียว-ขาวเขียว ---> น้ำเงิน-ขาวน้ำเงิน ---> น้ำตาล-ขาวน้ำตาล เพื่อแบ่งสายออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ก่อน จากนั้นจึงค่อยมาทำการแยกแต่ละคู่ออกมาเป็นเส้น โดยให้ไล่สีดังนี้
ขาวส้ม ---> ส้ม ---> ขาวเขียว ---> น้ำเงิน ---> ขาวน้ำเงิน ---> เขียว ---> ขาวน้ำตาล ---> น้ำตาล
ซึ่งสีที่ไล่นี้เป็นสีที่ใช้เป็นมาตรฐานในการเชื่อมต่อ ซึ่งจริง ๆ แล้วการเข้าสายมีมาตรฐานการไล่สีอยู่หลัก ๆ ก็ 2 แบบแต่ในที่นี้ผมเอาแบบนี้แล้วกันเพราะว่าส่วนมากแล้วเขาจะใช้วิธีการไล่สีแบบนี้ หลังจากจัดเรียงสีต่าง ๆ ได้แล้วก็ให้จัดสายให้เป็นระเบียบ ให้พยายามจัดให้สายแต่ละเส้นชิด ๆ กัน ดังรูป
หลังจากนั้นให้ใช้คีมตัดสายสัญญาณที่เรียงกันอยู่นี้ให้มีระบบปลายสายที่เท่ากันทุกเส้น โดยให้เหลือปลายสายยาวออกมาพอสมควร จากนั้นก็ให้เสียบเข้าไปในหัว RJ-45 ที่เตรียมมา โดยให้หันหัว RJ-45 ดังรูปจากนั้นค่อย ๆ ยัดสายที่ตัดแล้วเข้าไป โดยพยายามยัดปลายของสาย UTP เข้าไปให้สุดจนชนปลายของช่องว่าในหัว RJ-45 เลย
สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเชื่อมต่อสายสัญญาณในช่วงนี้ก็คือต้องยัดฉนวนหุ้มที่หุ้มสาย UTP นี้เข้าไปในหัว RJ-45 ด้วย โดยพยายามยัดเข้าไปให้ได้ลึกที่สุดแล้วกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการหักงอของสายง่าย โดยให้ยัดเข้าไปให้ได้ดังรูปข้างล่างนี้
แล้วก็นำเข้าไปใส่ในช่องที่เป็นช่องแค้มหัวของ RJ-45 ในคีมที่จะใช้แค้มหัว หรือ Crimping Tool ให้ลงล็อกของคีมพอดี จากนั้นก็ให้ทำการกดย้ำสายให้แน่น เพื่อให้ Pin ทีอยู่ในหัว RJ-45 นั้นสัมผัสกับสายทองแดงที่ใส่เข้าไป บรรจงนิดหนึ่งนะครับในช่วงนี้ เพราะว่าเป็นช่วงหัวเลียวหัวต่อของชีวิตสายสัญญาณของคุณเลยแหละ เท่าที่ประสบการในการเข้าสายสัญญาณของผม ถ้าเป็นไอ้เจ้า Amp นี่ก็ไม่ต้องออกแรงมากเท่าไหร่ก็ OK ได้เลย แต่ถ้าเป็นแบบของทั่ว ๆ ไปก็คงต้องออกแรงกดกันนิดหนึ่งแล้วกัน

ท้ายที่สุดก็จะได้ปลายสัญญาณของระบบที่คุณต้องการดังกล่าวดังรูป ที่นี้ก็ไปทำอย่างที่ว่ามานี้อีกครั้งหนึ่งที่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง แต่อย่าหลงเข้าใจผิดว่านี่เป็นสาย Cross นะ เพราะว่าสาย Cross นั้นคุณต้องทำการสลับสายสัญญาณที่เข้านี้ ลองไปดูหัวข้อ Tip of the Day นะผมแนะนำการเข้าสาย Cross ไว้ที่นั่นแล้ว เพราะว่าการเข้าสายทั้งสองแบบนี้การไล่สีของสายไม่เหมือนกัน แตกต่างกันนิดหน่อย ส่วนสาย Cross เราสามารถนำเอาไปเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้เป็นระบบเครือข่ายได้โดยที่ไม่ต้องใช้ HUB ได้เลย แต่ได้แค่ 2 เครื่องเท่านั้น ส่วนสายแบบที่ต่อตรง ๆ นั้นจะใช้เชื่อมต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์มายัง HUB